Saturday, June 25, 2016

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 5 วัน 4 คืน"ทริป โอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ 11-16 เม.ย 2559"


เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 5 วัน 4 คืน "ทริป โอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ 12-16 เม.ย 2559"



โปรแกรมคร่าวๆ 
12/4/16 ===> เทศกาลซากุระที่โรงกษาปณ์โอซาก้า, ศาลเจ้า Fushimi Inari (ศาลเจ้าเสาแดง)
13/4/16 ===> วัดคิโยมิซุ (Kiyomisu), วัดเงิน (Ginkakuji), ถนนสายนักปราชญ์, วัดทอง (Kinkakuji), ป่าไผ่
14/4/16 ===> นารา-โกเบ
15/4/16 ===> โอซาก้า (หอคอย Tsutenkaku, ปราสาทโอซาก้า, ชิงช้าสวรรค์ HEPFIVE ที่ Umada, ช๊อปย่านโดทงโบริ (Dotonbori))
16/4/16 ===> กลับสุวรรณภูมิ 

***หมายเหตุ เก็บได้หมดตามแผนครับ


          ทริปนี้เป็นการเดินทางไปแถบคันไซครั้งแรกของผมครับ เริ่มจากการตัดสินใจอย่างฉับพลัน เพราะเห็นราคาตั๋วค่อนข้างถูก ทำให้ไม่ต้องคิดอะไรมาก กดจองเลยครับ โดยเป็นการจองผ่าน Expedia ในราคา 8,xxx บาท ตอนแรกจองเป็นแพ็คเกจรวมโรงแรมด้วยในราคารวมแล้ว 4 คืน 13,xxx บาท โรงแรมเป็นแบบแคปซูน ชื่อ แกรนด์ ซาวน่า ชินไซบาชิ อยู่ในย่านนัมบะใกล้แหล่งที่ช็อป ที่กิน เดินได้แบบสบายๆ ลักษณะห้องก็ตามรูปนี้เลยครับ



ยังไม่จบแค่นี้ครับสำหรับเรื่องที่พักเพราะในแผนตั้งใจว่าจะไปปั่นจักรยานรอบเมืองเกียวโตในวันที่ 2 ของทริป ซึ่งก็เมลล์ไปจองกับทางร้านไว้เรียบร้อย ชื่อร้าน J-Cycle จึงคิดว่าถ้าค้างที่โอซาก้า กว่าจะเดินทางไปเกียวโตคงต้องเสียเวลามากแน่ๆ จึงตัดสินใจจองที่พักที่เกียวโตในคืนแรกกับเว็บไซด์ Booking.com ได้ที่พักชื่อ Hostel bakpak อยู่ในย่าน Gion ถือเป็นที่พักที่เหมาะมากกับย่านนี้ เพราะเป็นย่านท่องราตรีของเมืองเกียวโตอีกแห่งหนึ่งที่สามารถเห็นเกอิชาเดินไปมาในบริเวณนี้ได้และอยู่ใกล้กับศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka shrine) ซึ่งจากที่พักก็สามารถเดินไปได้ ระหว่างทางเดินก็จะมีร้านขายของมากมายและแม่น้ำคาโมะ (Kamo River) ก็อยู่ตรงข้ามกับที่พักเลยวิวสวยมากครับ

และในครั้งนี้ผมเลือกใช้บริการของสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ แน่นอนว่าต้องไปต่อเครื่องที่เวียดนาม และนั่นก็ไม่ใช้ปัญหาสำหรับผมครับ ตั๋วราคาถูกแถมได้ลงเดินยืดเส้นยืดสายอีก 3 ชั่วโมง ก่อนจะบินต่อไปที่ญี่ปุ่น แต่นี่ยังไม่สิ้นสุดการจองนะครับเพราะมีความเรื่องมากอยู่ในตัวพอสมควรเนื่องจากมีผู้ร่วมทริปทั้งหมด 5 คน ญ.3 ช.2 รวมผมด้วย จึงอยากพักอยู่ด้วยกัน เนื่องจากโรงแรมนี้ต้องพักแยกกัน จึงเกิดเป็นความคิดที่จะต้องเปลี่ยนโรงแรม จึงได้โทรไปยกเลิกโรงแรมที่จองกับทาง Expedia แต่ราคาตั๋วก็ยังเท่าเดิมนะครับ พอยกเลิกโรงแรมเสร็จก็ได้เวลาเริ่มต้นการหาโรงแรมใหม่อีกครั้งผ่านเว็บไซด์ Airbnb และถือเป็นจังหวะดีมากๆ ที่ไม่ต้องเสียเวลาเพราะเข้าไปเจอที่พักที่ตรงความต้องการเลยครับ ดูดี สะอาดสะอ้าน ใกล้แหล่งที่เที่ยว ที่กิน พักได้ 5-6 คน ตามคอนเซป ชื่อ Hotel Asahi Plaza Shinsaibashi (เสียอย่างเดียวมีห้องน้ำห้องเดียว) และอยู่ถัดจากโรงแรมเดิมประมาณ 2 บล็อค เจ้าของห้องก็คุยง่าย ตอบไว มี pocket wifi ให้ด้วย 1 เครื่อง (เป็นการคุยติดต่อกันผ่านทางไลน์นะครับ) ราคาห้อง 3,xxx บาท หาร 5 ก็ตกคนละประมาณ 7 ร้อยกว่าบาท



วันที่ 11 เม.ย 58

          เดินทางออกจากสุวรรณภูมิเวลา 19:35 ถึงโฮจิมินท์ 21:05





ถึงแล้วครับสนามบินโฮจิมินท์ ไปรอต่อเครื่องได้เลยครับไม่ต้องรับกระเป๋า




พอไปถึงก็ตามฝูงมหาชน และป้าย Transfer ไปรอที่เกตได้เลยครับ เครื่องจะออกจากโฮจิมินท์-สนามบินคันไซ เวลา 00:15-07:00 ระหว่างที่รอ จะนั่ง จะเดิน หรือว่าจะนอนก็ตามสบายกันเลยครับ ผู้โดยสารท่านอื่นๆ ก็จะมีนอนรอบ้างเหมือนกัน บางคนก็นั่งเล่นเน็ต เพราะทีสนามบินมี wifi ฟรีครับ มีปลั๊กให้เสียบชาร์ตด้วยแต่มีไม่กี่จุด ใครตาไวก็จะได้ที่นั่งตรงนั้นไปครอง ส่วนผมก็เดินหาจนได้เต้าเสียบชาร์ตครับ และแน่นอนว่าต้องนั่งกับพื้นครับ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ภาพบริเวณเกตครับ




เมื่อได้เวลาเจ้าหน้าที่ก็ประกาศขึ้นเครื่องครับ และนี่ก็เป็นอาหารบนเครื่องครับ ถือว่าโอเคเลยทีเดียวกับตั๋วราคานี้



วันที่ 12 เม.ย 58

พอถึงสนามบินคันไซก็จัดการกรอกแบบฟอร์มผ่าน ตม. ช่วงเช้าๆ คนน้อยมาก และผ่านแบบสบายๆ ในกรณีที่่ไปเป็นกรุ๊ปแบบผมก็ยื่น Passport รวมกันให้เขาเลย ใช้เวลาตรงนี้ไม่ถึง 10 นาที เสร็จจากนั้นก็ดิ่งตรงไปซื้อ PASS ต่างๆ ที่จะใช้นั่งรถไฟ


ซึ่่งในแผนครั้งนี้ PASS ที่ถูกเลือกและคัดกรอกแล้วว่าน่าจะเหมาะสมกับทริปผมมากที่สุดก็คือ KANSAI THRU PASS 3 DAY
(http://www.talonjapan.com/kansai-thru-pass)  กับ OSAKA AMESING 1 DAY PASS (http://www.osakainfo.jp/th/plan/practical_information/travel_passes/) หลังจากได้ PASS มาแล้วก็เริ่มต้นเปิดใช้ด้วย KANSAI THRU PASS เลยครับ เพราะเป็น PASS ที่สามารถนั่งข้ามจังหวัดได้ ซึ่งในแผน 3 วันแรกก็เป็นการเดินทางข้ามจังหวัด คือ เกียวโต นารา และโกเบตามลำดับ โดยเลือกนั่งขบวนรถไฟ Rapid ของ Nankai ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองโอซาก้าประมาณ 35 นาที




นั่งไปลงสุดสายที่สถานนีนัมบะ พอไปถึงก็เดินไปที่พักเลยครับระยะทางประมาณ 1.5 กิโลได้ เดินดูเมืองดูตึกถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก็ไม่ถือว่าไกลมาก 



ระหว่างทางไปที่พักก็จะเจอ Land Mark ของใครหลายๆ คน ก็คือป้ายกูลิโกะ ซึ่งวันนี้ยังไม่ใช่วันของพวกผมครับ


และแล้วก็มาถึงที่พักครับ ส่วนเรื่อง Check in ก็ง่ายมากครับเดินไปเอากุญแจที่ Mail box ตามเบอร์ห้องที่เจ้าของหรือโฮสได้แจ้งไว้พร้อมรหัสผ่าน


เข้าห้องได้แล้วก็จัดกระเป๋าพร้อมกับเสื้อผ้าอีก 1 ชุด เพื่อไปค้างที่เกียวโต อาหารเช้าวันนี้ก็พึ่ง Family Mart ครับ รสชาดก็พอใช้ได้ นั่งกินกันริมคลองเลยครับตามภาพ



หลังจากอิ่มท้องแล้วก็เดินทางต่อครับไปที่สถานนีนัมบะ Subway ด้วย KANSAI THRU PASS นั่งสายสีแดง Midosuji line ไปลงสถานี Tennoji แล้วต่อสายสีม่วงไปลงสถานี Temmabashi ออกจากสถานีก็เดินข้ามแม่น้ำไปก็จะเจอเทศกาลซากุระที่โรงกษาปณ์ เดินตามฝูงมหาชนไปได้เลยครับไม่ต้องกลัวหลง








หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเบียดกับผู้คนในงานแล้วก็ถึงเวลาเดินทางต่อไปที่ศาลเจ้าฟูจิมิอินาริ จากสถานนี Temmabashi ไปลงที่สถานนี Tambabashi ด้วยรถไฟขบวน Keihan Main Line Ltd. Exp. แล้วเปลี่ยนเป็นขบวน Local ไปลงที่สถานนี Fushimi Inari แล้วก็เดินเข้าไปเลยครับไม่ไกล ระหว่างทางก็จะมีร้านขายขนม ขายของฝากให้เลือกดูกันเยอะครับ




หลังจากเดินและถ่ายรูปกันจนเหน็ดเหนื่อยแล้วก็เดินทางต่อครับจากสถานนี Fushimi Inari ก็นั่งรถไฟสาย Local ไปลงที่สถานี Kiyomisu-Gojo เพื่อจะไปเช่าจักรยานไว้ปั่นในวันรุ่งขึ้น แต่เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยกันมาจากการเดินเทศกาลซากุระ ทำให้ต้องเปลี่ยนแผน เป็นนั่งรถบัสแทนปั่นจักรยาน ซึ่งก็สามารถใช้ไอ้เจ้า KANSAI THRU PASS นั่งรถบัสได้ไม่จำกัดในเมืองเกียวโตแบบคุ้มค่าอีกด้วย หลังจากที่พวกเราตัดสินใจเปลี่ยนแผนก็เดินกลับไป Check in กับที่พัก Bakpak Hostel ในย่าน Gion เดินอีกเช่นเคยครับ เรียกได้ว่าทริปแห่งการเดินจริงๆ ครับ 




ถึงที่พักประมาณ 6 โมงครึ่ง ก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกหากินครับ ที่พักจะเป็นแบบพักรวม ช-ญ 8 นะครับ มีกรุ๊ปพวกผม 5 คน และต้องไปนอนรวมกับคนอื่นอีก 3 คน เป็นเตียงแบบ 2 ชั้น ห้องน้ำรวม แต่ก็แบ่งเป็นสัดส่วน สะอาดเหมาะสมกับราคาครับ ตกคนละประมาณ 7 ร้อยกว่าบาท



Bakpak Hostel

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาไปหาอาหารเพื่อเติมพลังให้กับวันพรุ่งนี้ และร้านที่เราเลือกก็คือร้านเนื้อย่างครับ เนื่องจากได้สังเกตการณ์ตอนเดินมาที่พัก มีลูกค้ายืนต่อคิวกันเยอะมาก จึงทำให้ไม่รีรอที่จะตัดสินใจครับ พอไปถึงก็ต้องเขียนคิวไว้จริงๆ ครับ แอบมีคนไทยกลุ่มนึงนั่งต่อคิวก่อนพวกผมด้วยครับ (ชื่อร้านจำไม่ได้ครับ)




วันที่ 13 เม.ย 58

ตื่นเช้ารับอากาศสดชื่น กับบรรยากาศหน้าที่พัก บริเวณริมแม่น้ำคาโมะ (Kamo River) ซึ่งก็จะสามารถพบเห็นชาวญี่ปุ่นวิ่งออกกำลังกายกันมากมายท่ามกลางอากาศเย็น



หลังจาก Check Out จุดหมายแรกสำหรับเช้านี้ก็คือศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka shrine) เนื่องจากอยู่ใกล้สามารถเดินไปได้ แต่ถ้าขี้เกียจเดินก็นั่งรถบัสไปได้จากป้ายกิออน ไปลงหน้าศาลเจ้าเลยมีหลายเบอร์ครับที่ผ่าน น่าจะประมาณ 1 กิโลได้ เบอร์รถบัสก็สามารถดูได้ในแผนที่ ถ้าจำไม่ผิดเบอร์ทีผ่านน่าจะมี 100, 201, 202, 203, 206, 207 ลองเช็คดูในแผนที่อีกทีครับ

แผนที่ตามลิงค์นี้เลยครับ http://inst.uno.edu/japan/docs/bus_navi_en.pdf

ส่วนนี่เอาไว้ดูประกอบการเดินทางครับ

ว็บนี้ก็น่าสนใจครับลองดูประกอบ

อ้อลืมบอกไปครับเท่าที่อ่านในรีวิวมารถบัสที่ใช้ KANSAI THRU PASS ให้สั่งเกตดูว่าจะมีรูปแม่มดติดอยู่ตรงประตูนะครับ (แต่พวกผมไม่ได้ดูครับเพราะคิดว่าส่วนใหญ่แล้วจะสามารถนั่งได้)
ถ้าเห็นสีเขียวๆ แบบนี้


ก็อนุมานไปก่อนว่านั่งได้ครับ แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า อิอิ...

แต่การไปศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka shrine) ในวันนี้พวกผมใช้วิธีการเดินเท้าไปครับเพราะไม่ไกล บวกกับตื่นกันแต่เช้าเลยมีเวลามากพอ
นี่เป็นรูปที่เดินทะลุผ่านซอยต่างๆ จากที่พักครับ


และนี่ก็เป็นถนนเส้นที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดก็คือ ฮานามิ-โคจิ (Hanami-koji) เป็นเส้นที่อยู่ระหว่างถนนชิโจและวัดเคนนินจิ(Kenninji Temple) ร้านอาหารและร้านชาโดยมากที่อยู่ในเส้นนี้




รูปนี้เป็นบรรยากาศยามเช้าทำให้ไม่ค่อยมีคนเดิน ร้านค้าก็ยังไม่เปิด เนื่องจากเป็นถนนช่วงเย็น

และนี่เป็นรูปช่วงตอนเย็นครับเป็นรูปก๊อปมาจากเว็ปนี้ครับ http://www.talonjapan.com/gion เนื่องจากพวกผมอยู่ไม่ถึงตอนเย็น



และแล้วก็เดินมาถึงศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka shrine) ครับ



นี่เป็นด้านใน จะมีให้กราบไหว้ขอพรด้วยครับ ตอนนี้เช้ามากๆ มีแต่เจ้าหน้าที่เริ่มทำความสะอาดเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยว


กับตรงนี้พวกผมใช้เวลาไม่นานครับประมาณครึ่งชั่วโมงได้แล้วก็เดินทางต่อสู่จุดหมายต่อไปคือวัด วัดคิโยมิซุ (Kiyomisu), หรือวัดน้ำใสนั่นเอง ออกจากศาลเจ้ายาซากะเลี้ยวซ้ายเดินนิดหน่อยก็ถึงป้ายรถเมล์รอตรงนี้ครับ จากแผนที่รถบัสที่สามารถนั่งไปได้ก็จะมี 100, 201, 202, 203, 206 แต่เบอร์แรกที่มาคือ 202 ก็ขึ้นกันเลยครับ ระยะทางไม่ไกลมากน่าจะประมาณ 10 นาทีได้ การใช้บัตร KANSAI THRU PASS ก็ง่ายมากครับเสียบเข้าช่องเสียบได้เลย แต่อย่าลืมหยิบกลับด้วยนะครับเดี๋ยวไม่มีใช้ต่อ


ไอ้เจ้าเครื่องนั้นก็ประมาณนี้ครับ ภาพจากเว็บ

ถึงวัดน้ำใสแล้วครับลงที่ป้าย Kiyomizu-michi แล้วเดินเข้าไปอีกหน่อยก็ถึงครับ พวกผมเดินย้อนขึ้นไปทะลุถนนสายน้ำชาครับระหว่างทางเดินก็เก็บภาพกันนิดหน่อย



เดินมาเรื่อยๆ และแล้วก็ถึงครับ เดินทะลุจากถนนสายน้ำชาก็เจอจุดนี้เลยครับ







เดินกันเรื่อยๆ ใช้เวลาที่วัดน้ำใสประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งได้ครับ ที่วัดน้ำใสจะมีร้านของฝาก ของที่ระลึก และขนมให้เลือกเยอะมากครับ ผมเองก็เริ่มมีของฝากติดไม้ติดมือให้หนักกระเป๋าก็ที่นี่แหละครับ เห็นแล้วอดใจไม่ไหว

หลังจากเสร็จสิ้นที่วัดน้ำใส ก็เดินย้อนกลับมาทางเดิมครับ เพื่อข้ามฝั่งไปขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าสู่วัดเงิน (Ginkakuji Temple) และถนนสายนักปราชญ์ 2 จุดนี้อยู่ใกล้กันครับ

เริ่มจากรอรถเมลล์ที่ป้าย Kiyomizu-michi เพื่อไปลงที่ป้าย Ginkakuji-michi รถเมย์สายที่วิ่งไปถึงโดยไม่ต้องต่อก็คือเบอร์ 100 ครับ ซึ่งป้าย Ginkakuji-michi จะอยู่ฝั่งตรงข้ามเราต้องข้ามถนนมาอีกทีครับ ถ้ายังงงก็สังเกตจากผู้คนครับ นักท่องเที่ยวจะเดินเข้าไปกันเยอะ ก็เดินตามเขาไปเลยครับ ระหว่างทางเดินก็แวะเก็บภาพเรื่อยๆ





เรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร จะเจอคลองเล็กๆ แยกไปทางขวา และนี่ก็คือถนนสายนักปราชญ์ครับ



ช่วงที่มาเป็นช่วงที่ซากุระเริ่มโรยแล้วครับเลยได้ภาพที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ถ้าช่วงที่ซากุระบานเต็มที่จะสวยมากครับ อันนี้เป็นภาพตอนช่วงที่บานเต็มที่จะเป็นประมาณนี้ครับ




จากตรงนี้เราก็ใช้เวลาไม่นานครับประมาณครึ่งชั่วโมงสำหรับเก็บภาพบรรยากาศแล้วก็เดินย้อนกลับมา เนื่องจากไม่ค่อยมีอะไรมากนักเพราะซากุระเริ่มร่วงแล้ว กลับมาจากจุดเดิมแล้วเลี้ยวขวาเพื่อไปที่วัดเงิน (Ginkakuji) 


สองจุดนี้พวกเราใช้เวลาไม่นานครับรวมๆ แล้วน่าจะชั่วโมงครึ่งได้ แล้วเตรียมตัวไปที่จุดหมายปลายทางต่อไป คือวันทอง (Kinkakuji) ครับ โดยออกมายืนรอรถที่ป้ายรถเมล์ที่เดิมตอนที่ลงครับ คือป้าย Ginkakuji-michi เพื่อไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi และเมื่อดูจากแผนที่แล้วคิดว่าน่าจะต้องต่อ 2 ต่อครับ เบอร์ที่สามารถไปได้ก็คือ 102, 203, 204 ไปลงที่ป้าย Kitano Hakubai-cho และก็เดินข้ามไปอีกฝั่งเพื่อต่อไป Ginkakuji-michi ประมาณ 4 ป้ายครับไม่ไกลมาก ระหว่างเดินไปอีกป้ายก็เจอร้านอาหาร ก็เลยตกลงกันว่าจะฝากท้องไว้กับร้านนี้ (ชอบตรงที่เวลาสั่งต้องสั่งที่ตู้ ใส่เงิน เลือกเมนู สะดวกสบายมากครับ) และนี่เป็นเมนูที่ผมสั่งครับ


หลังจากอิ่มท้องแล้วก็เดินทางกันต่อแป๊บเดียวก็ถึงวัดทอง (Kinkakuji) โดยจากป้าย Kitano Hakubai-cho ไปที่ป้าย Kinkakuji-michi เบอร์ที่สามารถนั่งไปได้คือ 101, 102, 204 และ 205 เดินเข้าไปด้านในแล้วก็ไปซื้อบัตรครับ คนเยอะมาก ยิ่งตรงจุดที่มีวัดทองเป็น Background ไม่ต้องพูดถึงครับ



จบไปอีก 1 ภาระกิจสถานที่ครับ จุดหมายปลายทางต่อไป และเป็นที่สุดท้ายสำหรับนี้ก็คือป่าไผ่ (Bamboo forest) ครับ อยู่ที่ Arashiyama ครับ ส่วนการเดินทางพวกเราเลือกนั่งรถราง ไปลงที่สถานนี Arashiyamag เลยครับ ซึ่งจากวัดทองจะต้องนั่งย้อนกลับไปลงที่ป้ายเดิมคือ Kitano Hakubai-cho แล้วก็ข้ามฝั่งเดินย้อนมาทางวัดทองอีกนิดเดียวก็จะเจอสถานีรถรางครับ
จาก Kitano Hakubai-cho เราจะต้องต่อรถอีก1 ขบวนครับ นั่งไปลงที่สถานี katabiranotsuji แล้วต่อไปที่สถานี Arashiyama เมื่อไปถึงเดินออกจากสถานีแล้วให้เลี้ยวขวาครับ จะมีนักท่องเที่ยวเดินกันเยอะครับไม่ต้องกลัวหลง ระหว่างทางเดินก็จะมีต้นซากุระเป็นจุดๆ บวกครับรูปแบบบ้านแบบชานเมืองบรรยากาศดูสวยดีครับ ดังนั้นก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพบรรยากาศครับ







จุดนี้ใช้เวลาไม่มากครับเนื่องจากสภาพอากาศไม่เป็นใจ ฟ้าฝน เกเร มีฝนตกลงนิดหน่อย จึงได้ตัดสินใจกันว่าจะกลับโอซาก้าเลยครับ ออกจากป่าไผ่ก็เดินออกมาทางเดิมครับ ผ่านหน้าสถานีที่เราลง เพราะเราจะไม่กลับทางเดิม เป้าหมายคือสถานีรถไฟสาย Hankyu-Tokyo Line ซึ่งระยะทางน่าจะประมาณ 2 กิโลได้ แต่ด้วยภาพบรรยากาศบ้านเมืองของที่นี้แล้วทำให้ระยะทาง 2 กิโลดูเหมือนจะใช้เวลาไม่นาน และไม่ไกลเลย ระหว่างทางที่เดินไปก็ต้องข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ (สะพาน Togetsukyo) บรรยากาศนี่ไม่ต้องพูดถึงครับสวยมาก ไม่มีแดดฟ้าครึ้มๆ ยังสวยก็เลยไม่พลาดที่จะเก็บภาพครับ



ถึงแล้วครับสถานีรถไฟสาย Hankyu-Tokyo Line 


ต้องนั่งไปลงที่ Umeda ครับสุดสายเลย แล้วค่อยต่อไปที่นัมบะอีกประมาณ 4 สถานี แต่ครั้งนี้มีผิดพลาดนิดหน่อยรีบเกินไปจึงทำให้นั่งรถขบวน Local ซึ่งก็คือรถหวานเย็นนั่นเอง จอดทุกสถานี คิดว่าถ้านั่งต่อไปคงจะถึงช้าแน่นอน จึงตัดสินใจลงประมาณสถานีที่ 3 ครับเพื่อรอรถสาย Express ซึ่งมาถึงทันกันพอดี สบายละครับคราวนี้ใช้เวลาไม่นานก็ถึง Umeda 
พอถึง Umeda ก็แวะพาเพื่อนร่วมทริปอีกคนไปร้านอุปกรณ์มอเตอร์ไซที่หาข้อมูลมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ใช้เวลาไม่นานครับ ไม่มีหลง ถึงร้านแบบสบายๆ เมื่อได้ของตามต้องการแล้วก็เดินทางกลับ Namba ครับด้วย Subway สายสีแดงครับ ถึงที่พักประมาณ 6 โมงเย็นได้ เป็นเวลากำลังพอดี 






เดี๋ยวมาต่อ